Wednesday 25 November 2009

สมัคร ไม่ใช่นักประชาธิปไตย

สมัคร สุนทรเวช

ใจ อึ๊งภากรณ์

สมัคร สุนทรเวช เป็นนักการเมืองฝ่ายขวาที่เชื่อมั่นในระบบอภิสิทธิ์ชน เคยเป็นนักการเมืองที่ใกล้ชิดราชินี และเป็นคนอนุรักษ์นิยมที่พร้อมจะโกหกเพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเอง ดังคนเสื้อแดงที่อยากเห็นการล้มอำมาตย์และประชาธิปไตยแท้ในประเทศไทย ไม่จำเป็นต้องนำ สมัคร มาเป็น “คนของเรา”

ตอนที่สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เขาโกหกเรื่องอาชญากรรมรัฐ ๖ ตุลา และตากใบ ในรายการโทรทัศน์ CNN และAljazeera ซึ่งพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนใจอะไรจากบทบาทที่เคยมีในอดีต

ตอนที่เขาเป็นนักการเมืองหนุ่ม ตลอดปี ๒๕๑๙ สมัคร สุนทรเวช มีส่วนในการปลุกระดมม็อบฝ่ายขวาให้เกลียดชังนักศึกษาและนักประชาธิปไตย เขามีส่วนในการสนับสนุนวิทยุยานเกราะซึ่งปลุกระดมให้คนฆ่านักศึกษา และมีส่วนในการสนับสนุนให้สองทรราช ถนอมและประภาส กลับมาเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง ถ้าเปรียบกับปัจจุบัน เราอาจพูดได้ว่า เขามีพฤติกรรมเหมือนพวกโกหกคลั่งชาติของ ASTV โดยเฉพาะสนธิ ลิ้มทองกุล

ตัวอย่างการปลุกระดมของสมัคร สุนทรเวช เช่น การอ้างว่าโครงการบัณฑิตอาสาสมัครของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตั้งขึ้นมาเพื่อให้บัณฑิตปลุกระดมชาวบ้าน ต่อมาสมัครกล่าวว่าการที่นักศึกษาชุมนุมประท้วงการกลับมาของประภาสที่ธรรมศาสตร์ “เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย มีการโกหกว่ามีคนไม่ปรารถนาดีที่มีอาวุธนับพันกระบอกเข้ามาในกรุงเทพฯ จากต่างแดนและค่ายอพยพ สมัครพูดว่าลูกเสือชาวบ้านและวิทยุยานเกราะหรือชมรมวิทยุเสรี “สร้างความสามัคคีในการต่อต้านคอมมิวนิสต์” (นี่คือพวกที่ก่อความรุนแรงที่ธรรมศาสตร์ภายหลัง) เขาพูดอีกว่า “๑๔ ตุลา ๑๖ ไม่ให้ประโยชน์อะไรกับบ้านเมือง”

ในวันที่ ๖ ตุลา สถานีวิทยุยานเกราะเรียกประชุมลูกเสือชาวบ้านด่วน และปลุกระดมให้ “กลุ่มรักชาติ” ไปจัดการกับนักศึกษาและ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หลังเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นและการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สมัครได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย มีการเซ็นเซอร์สื่ออย่างหนักและเผาหนังสือที่เขาไม่เห็นด้วย และสมัครโกหกว่าทหารเวียดนามอยู่ในธรรมศาสตร์ (ดูหนังสือของคุณ วีระ มุสิกพงศ์ ๒๕๒๑ โหงว นั้ง ปัง สันติ์วานา ผู้พิมพ์)

เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ สมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง เขาต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยเหตุอันไม่ชอบธรรม เพราะศาล ทหาร และอำมาตย์ ใช้อำนาจนอกระบบ อ้างว่าออกโทรทัศน์ในรายการทำอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระที่สุด แต่นั้นคือมาตรฐานของพวกเสื้อเหลือง

การเสียชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งย่อมทำให้ญาติมิตรเสียใจเป็นธรรมดา ผมจะไม่ยุ่งในเรื่องครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัว แต่จะขอวิจารณ์แค่บทบาททางการเมืองของ สมัคร สุนทรเวช เท่านั้น

คนเสื้อแดงใช้ปัญญาทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการถูกหลอกให้กราบไหว้เคารพพวกอำมาตย์ไปแล้ว ทั้งๆ ที่เคยถูกสอนมาให้จงรักภัคดีเสมอ เราไม่จำเป็นต้องหลอกตัวเองเรื่อง สมัคร สุนทรเวช หรือเรื่องคนอื่นๆ เช่น เฉลิม อยู่บำรุง เสธ.แดง หรือพัลลภ ปิ่นมณี ว่าเป็น “นักประชาธิปไตย”

Monday 16 November 2009

เลิกรักชาติได้แล้ว

เลิกรักชาติกันได้แล้ว

ใจ อึ๊งภากรณ์

ท่ามกลางการคลั่งชาติและคำโกหกจากอำมาตย์และโจรพันธมารฯเรื่องเขมร หรือเรื่อง “การขายชาติ” ผมอยากจะเสนอว่าคนเสื้อแดงควรเลิกรักชาติ เลิกยืนเคารพธงชาติ และหันมารักเพื่อนๆร่วมชาติ และเพื่อนๆต่างชาติแทน เราควรจะประกาศรักสังคม รักเสรีภาพและประชาธิปไตย และเลิกรักอำมาตย์สักที ทำไม?

“ชาติ” เป็นหน่วยการบริหารสังคมที่เกิดขึ้นในยุคทุนนิยม ในไทยเกิดในยุครัชกาลที่ ๕ ก่อนทุนนิยมและก่อนที่จะมีชาติที่ไหนในโลก คนเขาไม่คิดในกรอบชาติเลย คิดในกรอบชุมชนหรือเมืองบ้านเกิดมากกว่า และบ่อยครั้งเมืองบ้านเกิดจะมีลักษณะสากลในอดีต ไม่เชื่อก็ไปที่อยุธยา และไปดูพิพิธภัณฑ์ที่หมู่บ้านญี่ปุ่น หรืออ่านหนังสือประวัติศาสตร์อยุธยาของ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็ได้ เพราะในอยุธยามีหลายเชื้อชาติอาศัยกันอยู่ มันเป็นเมืองท่าสำหรับค้าขาย มีการใช้หลายๆ ภาษาด้วย คนอยุธยาไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นคนไทยแต่อย่างใด การสร้างประวัติศาสตร์ไทยย้อนหลังปลอมๆ เป็นความพยายามของนักวิชาการอำมาตย์ เพื่อหลอกเราว่า “ชาติไทย” กษัตริย์ และชนชั้นปกครอง เป็นสิ่งเก่าแก่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พวกนี้จะอ้างว่าวัฒนธรรมไทยคือวัฒนธรรมที่ประชาชนต้องอ่อนน้อมต่ออำมาตย์ และแถมยังโกหกอีกว่า “ไทย” แปลว่า “เสรีภาพ” แต่แท้จริงแล้ว “ไทย” ของพวกอำมาตย์นี้แปลว่าเราเป็นทาสเป็นไพร่มากกว่า

“ชาติ” เป็นสิ่งประดิษฐ์ของชนชั้นปกครอง มันมีความสำคัญต่อเขาในทางความคิด หรือในทางที่จะเป็นลัทธิการเมืองของอำมาตย์และอภิสิทธิ์ชน ดังนั้นเขาจะกล่อมเกลาเราให้เคารพธงชาติสามสี และให้เราท่องจำว่าสีแดงคือชาติ สีขาวคือศาสนา และสีน้ำเงินคือกษัตริย์ โดยที่ชาติของเขามีแค่นี้ ไม่มีประชาชนทั้งปวงที่เป็นผู้สร้างสังคมที่แท้จริง คนอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล พูดที่สนามหลวงเมื่อไม่นานมานี้ว่าเรา “ต้องรักชาติ เพราะชาติคือกษัตริย์และศาสนา” เราต้องทวงถามว่า “ประชาชนอยู่ไหน?” เพราะสนธิกับแก๊งโจรของเขามองว่าประชาชนเป็นผักเป็นปลา เป็นไพร่หรือทาส และเราต้องถามว่าเขาอีกว่าเวลาพูดถึงศาสนา หมายถึง“ศาสนาอะไร?” เพราะหลายคนไม่ได้เป็นพุทธ มีอิสลาม คริสต์ ฮินดู ผีสางนางไม้ และยังมีคนที่ไม่นับถือศาสนาอีกด้วย ทำไมต้องยัดเราเข้ากรอบแคบๆ ของพวกอำมาตย์ ที่สำคัญคือศาสนาของสนธิ ลิ้ม เป็นศาสนาแบบไหน? เพราะขาดศีลธรรมพื้นฐานในการเคารพประชาชน และประชาธิปไตย ได้แต่ปลุกระดมความเกลียดชัง นี่หรือศีลธรรม?

แนวคิดชาตินิยมของชนชั้นปกครองไทยที่ถูกสั่งสอนในโรงเรียน ในสื่อ และในสังคมโดยรวม เป็นแนวคิดที่สอนให้เราจำยอมต่อผู้ปกครองเผด็จการ แล้วแถมโกหกเราว่า “เราเป็นชาติเดียวกับเขา” อีกด้วย มีแต่พูดเรื่อง “ความสามัคคี” แต่มันเป็นการบังคับความสามัคคีภายใต้เงื่อนไขสังคมป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำของอำมาตย์

ถ้าอำมาตย์รักชาติ ทำไมเขาไม่เคารพประชาชน ไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ และไม่เคารพประชาธิปไตย? ถ้าอำมาตย์รักคนไทยทำไมมากราดยิงประชาชนท่ามกลางถนน? ทำไมอำมาตย์ไม่ยอมเสียสละทรัพย์สมบัติมหาศาล เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างรัฐสวัสดิการให้คนไทยทุกคน? ทำไมพูดแค่เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำ? และเวลาพวกนั้นปลุกระดมให้คนรักชาติและไปรบในสงคราม ทำไมเขาไม่ไปรบเอง? ทำไมส่งลูกหลานคนจนไปตายแทนพวกเขา?

ในความเป็นจริงบ้านเรามีสองชาติ ชาติหนึ่งคือชาติของอำมาตย์ ที่มีเพลงชาติ ธงไตรรงค์ และลัทธิ “ชาติ ศาสนากษัตริย์” อีกชาติหนึ่งคือประชาชน เราไม่มีธง และไม่มีเพลงชาติ แต่เรามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย

หยุดเถิด เลิกเถิด การยืนเคารพเพลงและธงชาติของพวกอำมาตย์

เพื่อนเสื้อแดงอาจไม่สบายใจกับสิ่งที่ผมเสนอ ผมไม่แปลกใจ เพราะฝ่ายอำมาตย์กล่อมเกลาเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย ให้รักชาติ ดังนั้นการก้าวพ้นความคิดแบบนี้คงใช้เวลา

ถ้าจะต้องมีเพลงชาติ และผมมองว่าไม่ควรมี ... เนื้อร้องมันน่าจะเป็นแบบนี้ครับ ..... “ประเทศสยามรวมเลือดเนื้อหลายเชื้อชาติ เป็นประชาธิปไตยแท้ ชาวบ้านปกครองตนเอง อยู่ด้วยกันท่ามกลางความสงบ เคารพรักทุกเพศทุกภาษาทุกศาสนาหรือความเชื่อ เรานี้รักสงบ และเราจะไม่หาเรื่องรบเพื่อประโยชน์ของคนอื่นเหมือนยุคมืดอดีต ทุกคนทำงานร่วมกันสร้างสังคมปรองดองและรัฐสวัสดิการ ในสยามนี้ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีหมอบคลาน และเพื่อนบ้านทุกฝ่ายเป็นมิตรของเรา ศัตรูแท้ของประชาชนคือพวกคัดค้านประชาธิปไตย และพวกอำมาตย์ดั้งเดิม เราปลดแอกตนเองแล้ว และร่วมกันร้อง ประชาชนจงเจริญ! (ต้องขออภัยด้วยที่ผมแต่งกลอนหรือเนื้อเพลงไม่ไพเราะ แต่ท่านคงจับประเด็นสำคัญๆ ได้เมื่อเปรียบเทียบกับเพลงชาติปัจจุบันของอำมาตย์

ท่านจักรภพ เพ็ญแค่ มีจุดยืนในหลายเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ในเรื่อง “ชาติ” ผมขอมองต่างมุมบ้าง ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเวลาคุณจักรภพคัดค้านการ “คลั่งชาติ” แต่เขายังมองว่ามันมีวิธีรักชาติที่ดีอยู่บ้าง

แนวชาตินิยมที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมีบ้างไหม? มีบ้างในกรณีที่สังคมถูกครอบงำหรือนำมาเป็นเมืองขึ้นโดยจักรวรรดินิยม เช่นในยุคล่าอาณานิคม ขบวนการชาตินิยมเป็นขบวนการที่ปลดแอกประชาชนระดับหนึ่ง แต่มันไม่เคยพอ เราจะเห็นได้จากการที่ ประเทศที่ได้รับเอกราชหลังยุคอาณานิคม เช่น พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย ก็ยังมีปัญหา เพราะมีเผด็จการครองเมือง และถ้าเป็นประชาธิปไตยอย่างอินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ก็ยังมีความเหลื่อมล้ำอยู่ ในประเทศเหล่านี้ความคิดชาตินิยมกลายเป็นเครื่องมือบังคับความสามัคคีของชนชั้นปกครองใหม่ สรุปแล้วแนวชาตินิยมไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยและปลดแอกพลเมืองอย่างเต็มที่

พวกอำมาตย์คงน้ำลายฟูมปากอีกรอบกับบทความนี้ (หลายรอบแล้ว) คงมีการเห่าหอนว่าผม “ขายชาติ” และ “ไม่ใช่คนไทย” ผมมีคำตอบง่ายๆคือ ผมขายชาติไม่ได้ เพราะไม่เคยเป็นเจ้าของ ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เคยมีโอกาสเป็นเจ้าของอีกด้วย เพราะอำมาตย์ปล้นมาจากประชาชนนานแล้ว แล้วอ้างว่ามันเป็นแผ่นดินของเขา และในเรื่องที่ไม่ใช่คนไทย ผมก็ยอมรับ เพราะผมไม่อยากร่วมชาติไทยเลวทรามของอำมาตย์ ผมเป็นคนสยาม พ่อเป็นเชื้อสายจีน แม่เป็นอังกฤษ และผมต่างจากอำมาตย์และพันธมารฯ เพราะผมรักและเคารพประชาชนสยามและรักประชาธิปไตย

Monday 9 November 2009

ทักษิณ ชมเจ้าฟ้าชาย ยุทธวิธีที่ท้าทายจุดยืนคนเสื้อแดง

ทักษิณ ชมเจ้าฟ้าชาย ยุทธวิธีที่ท้าทายจุดยืนคนเสื้อแดง

ใจ อึ๊งภากรณ์

เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่ทักษิณออกมาชมเจ้าฟ้าชายว่าจะสร้าง “ยุครุ่งเรืองของระบบกษัตริย์หลังภูมิพล” อ่านบทความใน นสพ The Times แล้ว จะเห็นว่า ทักษิณมองว่าปัญหาปัจจุบันมาจากคนรอบข้างวัง เช่นองค์มนตรีเท่านั้น และมองว่าสถานการณ์แบบนี้จะเปลี่ยนได้เมื่อมีกษัตริย์ใหม่ “ที่เข้าใจโลกสมัยใหม่” กษัตริย์ใหม่ที่เขาชื่นชมคือเจ้าฟ้าชาย

http://www.timesonline.co.uk/tol/news/world/asia/article6908493.ece

จริงๆ แล้วเราคงไม่แปลกใจเรื่องนี้ ผมและคนอื่นพูดมานานแล้วว่าทักษิณเป็นคนรักเจ้าพอๆ กับพวกเสื้อเหลือง แต่แข่งกับอำมาตย์ในการอ้างความชอบธรรมจากเจ้าไม่ได้ โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ทั้งนี้เราจะเห็นว่าในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ ชนชั้นนายทุนทั่วโลก ในประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุข ย่อมส่งเสริมกษัตริย์เพื่อให้ความชอบธรรมกับระบบชนชั้น ระบบอภิสิทธิ์ และความอนุรักษ์นิยมเสมอ

คำถามสำหรับคนที่เห็นด้วยกับแนวทักษิณคือ

1. กษัตริย์ภูมิพล ไม่ได้มีความสามารถในการสร้างระบบประชาธิปไตยและสังคมที่รุ่งเรืองแต่อย่างใด คิดว่าลูกชายจะสร้างได้หรือ?

2. ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยแท้ภายใต้กษัตริย์ใหม่คืออะไร? หรือเป็นแค่ความเพ้อฝัน?

3. บางคนอาจบอกว่าทักษิณสร้างความ “สัมพันธ์พิเศษ” กับเจ้าฟ้าชาย เลยหวังว่าเมื่อขึ้นมาเป็นกษัตริย์ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกได้ ในประการแรกคนอย่างเจ้าฟ้าชายมีอำนาจแค่ไหน? ในประการที่สองคิดว่าพวกเสื้อเหลืองเขาไม่พยายามสร้างความสัมพันธ์พิเศษหรือ? และในประการที่สาม ไว้ใจคนอย่างเจ้าฟ้าชายได้หรือไม่?

4. การชื่นชมเจ้าฟ้าชาย ซึ่งเป็นคนที่ประชาชนส่วนใหญ่เกลียดชังและไม่ให้ความเคารพ เป็นการนำขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงไปจงรักภักดีกับระบบอำมาตย์อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่?

5. มันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องไปชมเจ้าฟ้าชาย? หรือเราควรบอกว่าถ้ากษัตริย์คนต่อไปเป็นเจ้าฟ้าชาย เราควรลดอำนาจและอิทธิพลกษัตริย์เพื่อไม่ให้มีความสำคัญ? ถ้ายกเลิกระบบไปเลยยิ่งดี ทำไมทักษิณไม่พูดแบบนี้?

6. ทักษิณมีความหวังจากเจ้าฟ้าชาย อันนี้ชัดเจน แต่เป็นความหวังเพื่อตัวทักษิณเองเท่านั้น หรือเพื่อให้มีการสร้างประชาธิปไตยแท้และความเป็นธรรมทางสังคมเพื่อพลเมืองส่วนใหญ่?

7. ระหว่างการยกเลิกระบบกษัตริย์เพื่อสร้างประชาธิปไตยสาธารณรัฐ กับ การเชิดชูเจ้าฟ้าชายเพื่อให้เป็นกษัตริย์คนต่อไป อันไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน?

8. เรื่องการถวายฏีกา คนเสื้อแดงก็ถกเถียงกันพอสมควร หลายคนยอมปล่อยให้ผ่านเพราะคิดว่าอาจเปิดโปงระบบอำมาตย์ แต่การชื่นชมเจ้าฟ้าชายมีข้อดีสักข้อหนึ่งหรือไม่?

9. จุดยืนของทักษิณในเรื่องนี้ แสดงว่าเขาสมจะเป็นผู้นำคนเสื้อแดงหรือไม่? คงจะมีหลากหลายความคิดตรงนี้ บางคนอาจมองว่าผู้นำก็ผิดพลาดได้ อย่างไรก็ตามมันชวนให้เราคิดว่าขบวนการเสื้อแดงจะนำตนเองจากรากหญ้าหรือไม่ หรือจะให้แกนนำเก่านำเราต่อไป

ในที่สุดคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยคงต้องเลือกเส้นทางการต่อสู้ ระหว่าง

· การสยบยอมต่ออำมาตย์และเจ้าฟ้าชาย

· การต่อสู้เพื่อโค่นอำมาตย์ทั้งระบบและสร้างประชาธิปไตยสาธารณรัฐ

ผมขอเลือกแนวทางที่สอง