Wednesday 28 April 2010

ใช่ ผมอยากล้มเจ้า แล้วยังไง?



ใช่ ผมอยากล้มเจ้า แล้วยังไง?
ใจ อึ๊งภากรณ์



ในแผนผังโกหกเรื่องการล้มเจ้าของอำมาตย์ มีอย่างน้อยหนึ่งคนที่อยากเห็นประชาธิปไตยสาธารณรัฐในประเทศไทยครับ ผมยกมือประกาศเรื่องนี้ด้วยความภูมใจมานานแล้ว ผมไม่เคยปกปิดว่าผมอยากเห็นประชาธิปไตยและความเท่าเทียมในประเทศของเรา ผมภูมใจที่ผมไม่ใช่ฝุ่นใต้ตีนใคร ผมอยากยกเลิกระบบกษัตริย์
แต่คนที่เหลือเกือบทั้งหมดในแผนผังโกหกนั้น รวมถึงทักษิณและแกนนำ นปช. ทั้งหมด เขายังอยากมีระบบกษัตริย์ ผมก็เสียใจที่เขาคิดแบบนั้น หวังว่าวันหนึ่งอาจเปลี่ยนใจกัน แต่นั้นก็เป็นเรื่องของเขา เรามีจุดร่วมตรงที่ไม่อยากให้มีเผด็จการครองเมือง ตรงนั้นเราร่วมมือกันได้ แต่ในเรื่องกษัตริย์คงต้องมองต่างมุมต่อไป นั้นคือความจริงที่ใครๆรับรู้กันถ้าคิดเองเป็น ยกเว้นไอ้พวกตาลายบ้าอำนาจที่นั่งอยู่ในราบ๑๑
ผมไม่เอาระบบหมอบคลาน ระบบที่กราบไหว้คนที่ฝ่ายชนชั้นปกครองอ้างว่าเป็น “เทวดา” ผมมองว่าในระบบประชาธิปไตย ทุกตำแหน่งสำคัญต้องมาจากการเลือกตั้ง ผมอยากยกเลิกระบบกษัตริย์ในไทย ในอังกฤษ ในญี่ปุ่น และที่อื่นทั่วโลก....แล้วยังไง?
ฝ่ายรัฐบาลอภิสิทธิ์กับทหารชาติชั่วจะฆ่าผมเพราะผมกล้าคิดต่างจากพวกมัน ยังงั้นหรือ?
การประกาศว่าการฆ่าคนที่คิดต่างจากอำมาตย์ คนที่อยากเห็นระบบสาธารณรัฐ “เป็นสิ่งที่ชอบธรรม” เป็นคำประกาศของทรราช แต่ที่สำคัญกว่านั้นมันแปลว่าคนไทยไม่มีสิทธิ์คิดเอง ไม่มีสิทธิ์ประกาศจุดยืนทางการเมืองของตนเองอย่างสันติ เพราะถ้าแสดงจุดยืนที่ไม่เอาเจ้า จะต้องถูกฆ่าทิ้ง
ซึ่งแปลว่าภาพของคนไทยที่รักกษัตริย์และราชวงศ์ เป็นภาพจอมปลอมที่มาจากการบังคับให้คนรักเจ้า สรุปแล้วคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าของแท้ของประเทศและรักประชาธิปไตย อาจไม่รักเจ้าเลยก็ได้ ซึ่งตามหลักประชาธิปไตยก็แปลว่าควรยกเลิกระบบกษัตริย์ไปเลย .....นั้นคือความกลัวและฝันร้ายของอำมาตย์
ผมไม่เห็นด้วยกับการมีระบบกษัตริย์ในไทยเพราะ
• กษัตริย์ภูมิพลถูกใช้ในการให้ความชอบธรรมกับเผด็จการทหารมาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์
• กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของพลเมืองไทยแม้แต่ครั้งเดียว
• กษัตริย์ภูมิพลไม่เคยสร้างความสงบในสังคม ทุกครั้งที่มีวิกฤตและความรุนแรงกษัตริย์ภูมิพลรอดูว่าใครจะชนะก่อนที่จะออกมา ไม่ว่าจะมีการเสียเลือดเนื้อแค่ไหน ไม่ว่าจะยุค ๑๔ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือปัจจุบัน และในกรณี ๖ ตุลา ยังสนับสนุนความรุนแรงป่าเถื่อน
• กษัตริย์ภูมิพลสั่งสอนคนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศ ให้ “พอเพียง” ท่ามกลางความยากจน ในขณะที่ภูมิพลเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศ รวยเพราะคนอื่นทำงาน เขาจึงขัดขวางการกระจายรายได้และการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม
• การมีกษัตริย์สิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก เงินนี้น่าจะนำมาพัฒนาสังคมและระบบรัฐสวัสดิการแทน
• กษัตริย์ภูมิพลเป็นคนที่ยอมให้คนอื่นหมอบคลานต่อตนเอง แต่เขาไม่มีความกล้าและความซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าคนที่ถูกประหารชีวิตในกรณีที่พี่ชายตัวเองเสียชีวิตเป็นคนบริสุทธิ์
• ทุกตำแหน่งสาธารณะ ควรมาจากการเลือกตั้ง ควรถูกตรวจสอบ ควรมีความโปร่งใส แต่ระบบกษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีการตรวจสอบ และความโปร่งใส เพราะมีกฎหมายหมิ่นฯ
คิดแค่นี้ รัฐบาลไทยมองว่าผมควรถูกฆ่าทิ้ง .... ผมไม่กลัวหรอก.... คนที่กลัวความจริงกับการใช้เหตุผลคือฝ่ายอำมาตย์ต่างหาก.... คนที่กลัวเพื่อนประชาชนในประเทศคืออำมาตย์
ผมไม่แค่ต่อต้านระบบกษัตริย์ แต่ผมต่อต้านทหารชาติชั่วที่ฆ่าประชาชนที่รักประชาธิปไตยในบ้านเกิดของผมมาห้าครั้งแล้ว มันไล่คุณพ่อผมออกนอกประเทศด้วย ดังนั้นรัฐไทยใหม่ที่เราจะสร้างต้องสร้างด้วยการปลดนายพลทั้งหมดออก ตัดงบประมาณทหาร ลดกำลังและอาวุธ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และปฏิรูปกองทัพแบบถอนรากถอนโคน
จริงๆ แล้วไม่มีกองทัพเลยก็ยิ่งดี อาศัยแค่ตำรวจก็พอ เพราะกองทัพไม่เคยปกป้องประชาชน ได้แต่ฆ่าประชาชน และประชาชนคือชาติ

ทหารใช้อาวุธกับคนเสื้อแดง






28 เมษายน ทหารใช้อาวุธยิงคนเสื้อแดงที่ตลาดไท และดอนเมือง
ทหารยิงกันเองโดยไม่ตั้งใจ ตายหนึ่ง ข่าวจากบีบีซี
http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/8648109.stm

เสื้อแดงสู้ๆ โค่นอำมาตย์และทหารเลว!!
ดูแผนผังอำมาตย์ชั่ว

Thursday 15 April 2010

มองฝ่าหมอกควันก๊าซน้ำตา

มองฝ่าหมอกควันก๊าซน้ำตา
ใจ อึ๊งภากรณ์

ท่ามกลางหมอกควันก๊าซน้ำตา และการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารตามคำสั่งของอำมาตย์ ฝ่ายรัฐบาลทรราช สื่อรับใช้ทรราช นักวิชาการรับจ้างของอำมาตย์ และพวกดัดจริตอ้างตัวเป็นกลางแบบ “สันติวิธี” ทั้งหลาย เช่นกรรมการสิทธิ์ เอ็นจีโอ และกลุ่มอื่นๆ กำลังพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหลักของเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน เพื่อให้ประชาชนสับสนมืนเมาเหมือนโดนควันก๊าซน้ำตารอบสอง ผมจึงขอสรุปประเด็นสำคัญๆ สามข้อของเหตุการณ์ดังนี้
ถ้ารัฐบาลไหน ไม่ว่าที่ไหนในโลก ใช้ทหารติดอาวุธสงคราม กระสุนจริง และรถถัง เพื่อเคลียร์พื้นที่การชุมนุมของประชาชนจำนวนมากที่ไร้อาวุธและไม่ได้ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าทหารนั้นจะมีโล่หรือกระสุนยางสมทบไปด้วย ไม่ว่าทหารจะยิงกระสุนจริงขึ้นฟ้าในขั้นตอนแรก แต่ในที่สุด ท่ามกลางความตึงเครียด หรือด้วยความจงใจ ทหารจะใช้กระสุนจริงเพื่อฆ่าประชาชน เพราะทหารไม่ได้นำปืน M16 ปืนกลนานาชนิด หรือรถถัง มาหุงข้าว ไถนา หรือสร้างเกมสนุกๆให้เด็กๆ อาวุธสงครามดังกล่าวมีไว้ฆ่าคนอย่างเดียว คำถามที่รัฐบาลอำมาตย์ต้องตอบคือ ทำไมใช้ทหารติดอาวุธสงครามในการเคลียร์พื้นที่ของการชุมนุมของประชาชน ในขณะที่ประชาชนมีวินัยในการรักษาความสงบและปราศจากอาวุธ?
นี่คือประเด็นหลักประเด็นแรก มันคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะมีคนลึกลับแต่งชุดดำวิ่งไปวิ่งมาท่ามกลางหมอกควันหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นมือที่สาม หรือทหารนอกเครื่องแบบ หรือใครก็ว่ากันไป แต่ถ้ามีจริงก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในวินัยและการจัดตั้งของ นปช. แน่นอน เวลาผมพูดถึง “วินัย” ของคนเสื้อแดง อยากให้เรามองภาพการนำอาวุธที่ยึดจากทหารมากองไว้ที่หน้าเวทีเพื่อไม่ให้ใครใช้ อยากให้มองภาพการจับและปล่อยทหารเกณฑ์โดยไม่มีการทำร้าย ในที่อื่นในโลกอาจมีการใช้อาวุธดังกล่าวเพื่อโต้ตอบกับทหาร
พันธมิตรฯ เวลาชุมนุมยึดสนามบินหรือทำลายทำเนียบรัฐบาล หรือตอนที่ไปปิดล้อมรัฐสภาและนำระเบิดมาใช้หรือขับรถทับตำรวจ ได้จงใจทำร้ายร่างกายคนอื่นและทำลายเศรษฐกิจไทย ต่างโดยสิ้นเชิงกับระเบียบวินัยและความสงบเรียบร้อยของคนเสื้อแดงที่ชุมนุมในกรุงเทพฯตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอำมาตย์และชนชั้นปกครองไทย ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมามีการใช้กำลังทหารติดอาวุธสงคราม เพื่อเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่เรียกร้องประชาธิปไตย 5 ครั้งกลางกรุงเทพฯ คือ ๑๔ ตุลา ๑๖, ๖ ตุลา ๑๙, พฤษภา ๓๕, เมษาเลือด ๕๒ และเมษาเลือด ๕๓ ถ้านับเหตุการณ์ตากใบในภาคใต้ในปี ๒๕๔๗ ก็มีทั้งหมด 6 ครั้งที่รัฐไทยฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ประท้วงตามกระบวนการประชาธิปไตย ใครที่สั่งทหารติดอาวุธสงครามไปสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย จึงมีความจงใจให้เกิดการเสียเลือดเนื้อแน่นอน ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เวลาเขาอยากจะเคลียร์พื้นที่ของผู้ชุมนุม ซึ่งการเคลียร์นั้นอาจชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรมก็ตาม เขาส่งตำรวจไปดัน ไปไล่ ไปจับประชาชน ไม่ได้ส่งทหารและรถถัง นี่คือปัญหาเรื้อรังของสังคมไทยที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เรามีประชาธิปไตยแท้ วิธีแก้ไขคือการสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในสังคม โดยการนำผู้ที่กระทำผิดในระดับสูงมาลงโทษ หรืออย่างน้อยประกาศว่าเขาทำผิดอย่างชัดเจนเป็นทางการ และที่สำคัญเราต้องเกษียณนายพลทั้งหลาย ตัดงบประมาณทหาร และลดขนาดของกองทัพลงแบบถอนรากถอนโคน เพราะกองทัพไทยไม่เคยปกป้องประชาชน มีแต่จะฆ่าประชาชนเท่านั้น นอกจากนี้ต้องมีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ และกฎหมายคอมพิวเตอร์ เพื่อไม่ให้มีการใช้ข้ออ้างเรื่องการ “ล้มเจ้า” มาใช้ในการฆ่าประชาชน เราต้องมีเสรีภาพในการแสดงความเห็น
ถ้าถอยหลังมาดูภาพรวมของการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเห็นว่าฝ่ายหนึ่งมีกองทัพ ใช้ทหารติดอาวุธสงคราม และรถถัง และพยายามปกปิดสื่อเพื่อไม่ให้สังคมทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายเป็นประชาชนธรรมดาที่ปราศจากอาวุธที่ต้องการประชาธิปไตย ดังนั้นใครที่เรียกร้องให้ “ทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบความรุนแรง” เป็นคนที่โกหกบิดเบือนความจริง มองว่าช้างเท่ากับมด มดจึง “มีส่วนผิดในการที่โดนช้างเหยียบตายเพราะเสือกไปยืนตรงทางเดินช้าง” ในทางปฏิบัติในโลกจริง คำพูดแบบนี้ไม่ใช่คำพูดของคนที่เป็นกลางแต่อย่างใด แต่เป็นคำพูดที่ลดความรับผิดชอบของฝ่ายรัฐบาลอย่างเดียว คือพยายามแก้ตัวแทนรัฐบาลอำมาตย์นั้นเอง และถ้าเราดูประวัติของคนเหล่านี้ที่พูดให้ทั้งสองฝ่ายรับผิดชอบ ส่วนใหญ่เป็นคนที่สนับสนุนพันธมิตรฯ หรือรัฐประหาร ๑๙ กันยา หรืออย่างน้อย “สบายใจมากขึ้นเมื่อเกิดรัฐประหาร” ทั้งๆ ที่แก้ตัวเสมอว่า “ไม่ชอบรัฐประหาร”
ประเด็นที่สองคือ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งและกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด มาจากการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา และรัฐประหารเงียบของศาลหลายรอบ มาผ่านรัฐธรรมนูญทหาร รวมถึงการกดดันของพันธมิตรฯ ดังนั้นรัฐบาลไร้ความชอบธรรมที่จะปกครองประเทศ และไร้ความชอบธรรมที่จะคัดค้านข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงให้ยุบสภาและคืนอำนาจให้ประชาชนโดยสิ้นเชิง ประเด็นนี้มักถูกมองข้ามด้วยความจงใจ โดยเฉพาะจากคนชั้นกลาง พันธมิตรฯ เอ็นจีโอ และนักวิชาการ ที่มองว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่ที่เป็นคนจนไม่มีวุฒิภาวะที่จะลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง เขาจึงคัดค้านการเลือกตั้งเสรี
การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทำให้การประท้วงยืดเยื้อของคนเสื้อแดงและการปิดถนนบางจุดในกรุงเทพฯ มีความชอบธรรม และที่สำคัญรัฐบาลอภิสิทธิ์มีวิธีเดียวที่จะอยู่ต่อและไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่คือ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ใช้กองกำลังเพื่อหวังปราบผู้ชุมนุม และปิดกั้นเซ็นเซอร์สื่อตามกระบวนการเผด็จการของ “รัฐตำรวจ” เพราะเขาไม่กล้าคืนอำนาจให้ประชาชน เขารู้ว่าเขาจะแพ้การเลือกตั้ง และเขารู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความศรัทธาในรัฐบาล อย่าลืมว่าการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งทันที จะยุติภาวะตึงเครียดในกรุงเทพฯ และถ้าการเลือกตั้ง “จะไม่แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมในระยะยาว” ก็เพราะฝ่ายเสื้อเหลืองและอำมาตย์ไม่ยอมเคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเท่านั้น
ประเด็นที่สามคือเรื่องการ “กบฏ” เพราะฝ่ายเสื้อเหลืองอ้างว่าเสื้อแดงเป็น “กบฏ” คำถามที่ต้องถามต่อคือ “กบฏต่อใครหรืออะไร?” ใช่ครับคนเสื้อแดงกบฏต่อเผด็จการอำมาตย์ กบฏต่อพวกนายพลในกองทัพ แต่ประเด็นคือ อำมาตย์และกองทัพกบฏต่อประชาชน คนเสื้อแดงกำลังปกป้องพลเมืองไทยจากการกบฏไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่าลืมว่าในระบอบประชาธิปไตยอำนาจอธิปไตยต้องอยู่ที่ประชาชน ใครไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ถือว่ากบฏต่อระบบการปกครองประชาธิปไตย มันง่ายที่จะเข้าใจครับถ้าจริงใจในการเข้าใจ

ตอนนี้สังคมไทยแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งกบฏต่อประชาชนเพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ของตนเอง พร้อมจะใช้กองกำลังติดอาวุธสงครามและการปกปิดสื่อเพื่อครองอำนาจต่อไป อีกฝ่ายประกอบไปด้วยพลเมืองธรรมดาที่ต้องการประชาธิปไตย ในสถานการณ์แบบนี้ที่เรื้อรังมาสี่ห้าปีแล้ว ใครที่ไม่อยู่ข้างคนเสื้อแดงก็อยู่ข้างอำมาตย์ และใครที่อ้างว่าเป็นกลาง เป็นคนที่ไม่สนใจการเมืองและสังคมเลย หรือเป็นคนโกหก

Saturday 10 April 2010

มีไว้ทำไม สถาบันกษัตริย์??

มีไว้ทำไม สถาบันกษัตริย์??
ฝ่ายอำมาตย์ทำสงครามกับเรา เราไม่ต้องจงรักภักดีต่อมันอีกแล้ว
ใจ อึ๊งภากรณ์


คนที่รักเจ้าชอบพูดว่ากษัตริย์อยู่ในหัวใจคนไทย แต่ขอถามว่าคนไทยอยู่ในหัวใจนายภูมิพลหรือ?
คนรักเจ้าชอบพูดว่าเราอยู่เย็นเป็นสุขเพราะกษัตริย์ แต่ขอถามว่าในวิกฤตการเมืองปัจจุบันและอดีต นายภูมิพลสร้างความอยู่เย็นเป็นสุขอย่างไร? สร้างให้ใครกันแน่? เพราะได้แต่เข้าข้างทหารป่าเถื่อนเผด็จการที่เข่นฆ่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ๑๔ ตุลา ๖ ตุลา พฤษภา ๓๕ และเมษายน ๕๒,๕๓
นายภูมิพลและครอบครัวได้แต่กอบโกยความร่ำรวยให้ตนเองและพรรคพวก ในขณะที่สอนให้คนจน“พอเพียง”ในความจน แล้วยังหน้าด้านรับเงินภาษีจากคนจนเพื่อเสริมสมบัติตนเอง และเมื่อมารปล้นขโมยประชาธิปไตยของประชาชนนายภูมิพลก็เงียบเฉยหรือชมเผด็จการ
ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่มองว่าถ้าเราไม่จงรักภักดี เขาจะมีข้ออ้างในการยิงเรา ลองคิดดูครับ เขาบังคับให้เรารักกษัตริย์ด้วยกระบอกปืน!! แต่ไม่ว่าจะเป็น ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือปัจจุบัน อำมาตย์ก็ยิงเข่นฆ่าประชาชน ไม่ว่าเราจะประกาศความจงรักภักดีแค่ไหน
บางคนบอกว่าเราควรเชิดชูหรือปล่อยให้ลูกชายนิสัยเสียของนายภูมิพล ขึ้นมาเป็นกษัตริย์หลังจากที่ภูมิพลตาย เพราะเขาเชื่อว่าประชาชนยังรักเจ้าอยู่ และถ้านายวชิราลงกรณ์ขึ้นมา ประชาชนจะเสื่อมศรัทธาในสถาบัน ผมขอเสนอว่าเสียเวลาและไม่จำเป็นครับ ตอนนี้ถึงเวลาสุกงอมแล้วที่จะเปิดศึกกับลัทธิกษัตริย์ของอำมาตย์ทั่วแผ่นดิน
คนจำนวนมากเริ่มหูตาสว่าง ฝ่าเมฆควันดำแห่งการกล่อมเกลา มองเห็นว่านายภูมิพลและครอบครัวไม่ใช่เทวดา หลายคนมองว่าเป็นมารผู้กำกับทหาร แต่คนอย่างผมมองว่านายภูมิพลมีบทบาทอื่น เป็น “หัวหน้าความคิดลัทธิกษัตริย์”เพื่อให้เราจงรักภักดีต่อทหารอำมาตย์ ศาลอำมาตย์ และอภิสิทธิ์ชนอำมาตย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องกวาดสถาบันกษัตริย์ออกไปจากสังคม เพื่อโค่นอำมาตย์ ..... แต่อย่าลืมพวกนายพลอำมาตย์ที่เข่นฆ่าประชาชน เพราะพวกนี้ ตั้งแต่พลเอกเปรมลงมา ล้วนแต่กดขี่ประชาชนมานาน ทหารคือภัยต่อสังคม แต่ทหารเกณฑ์เป็นพี่น้องของเรา
การสู้กับอาวุธของทหารต้องใช้พลังมวลชนและการนัดหยุดงาน ต้องลุกเป็นไฟทั้งแผ่นดิน แต่การสู้กับลัทธิกษัตริย์ ง่ายมาก แค่สลัดความคิดออกจากหัวเราและชักชวนคนอื่นให้ทำเช่นกัน และจะทำให้ฝ่ายอำมาตย์อ่อนแอเสมือนขาดแขนขาไปข้างหนึ่ง เพราะไร้ความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง
จะรักนายภูมิพลไปทำไม? ถ้ารักหรือจงรักภักดี ก็แค่ลงไปหมอบคลานต่อลัทธิอำมาตย์ที่กำลังเข่นฆ่าเราอยู่ ถ้าเราสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้ แต่ยังมีเชื้อพิษของลัทธิกษัตริย์ฝังอยู่ในหัวเรา ก็เท่ากับมัดมือตัวเองสู้ ถึงเวลาที่เราต้องยืนขึ้นสู้ด้วยแขนขาสองข้างและหูตาสว่าง เราต้องสู้เพื่อสร้างรัฐไทยใหม่แห่งความเท่าเทียม ไม่มีทหารดูดเลือดประชาชน ไม่มีราชวงศ์กาฝาก ไม่มี “ผู้ใหญ่” คอยกดทับพลเมือง ไม่มีนักวิชาการคอยดูถูกว่าประชาชนโง่ ไม่มีสื่อบิดเบือนความจริง ไม่มีสองมาตรฐานทางกฎหมาย ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

พวกเรามีจำนวนมากมหาศาล ถ้าเราถุยน้ำลายพร้อมกันอำมาตย์จะจมน้ำตาย ถึงเวลาที่จะปลดแอกตัวเองจากลัทธิทาสของการจงรักภักดีต่อกษัตริย์ ถุยน้ำลายสลัดทิ้ง! คนไทยไม่ใช่ทาส!

Tuesday 6 April 2010

พวกดัดจริตอ้างเป็นกลาง

พวกดัดจริตอ้างเป็นกลาง
ใจ อึ๊งภากรณ์

ผมเชื่อมานานแล้วว่าคนที่อันตรายที่สุดเป็นพวกที่อ้างว่า “เป็นกลาง” เพราะในโลกจริง เมื่อมีเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญๆ เกิดขึ้น คนที่เป็นกลาง หรือคนที่ไม่มีจุดยืนใดๆ มีแค่สองประเภทคือ 1.คนโกหก หรือ 2.คนปัญญาอ่อนที่ไม่รู้เรื่องและไม่สนใจจะรู้เรื่องอะไร ประเภทที่อันตรายสุดคือพวกโกหกว่าเป็นกลาง
ในแวดวงวิชาการ มักจะมีการหลงตนเองคิดว่าตัวเก่งกว่าผู้อื่นหรือเข้าใจอะไรด้วยเหตุผล ไม่เหมือนไพร่ประชาชนธรรมดา แถมยังมีการสร้างภาพเท็จว่าตัวเอง “เป็นกลาง” ทั้งๆ ที่ทุกคนมีความเห็นและอคติต่างๆ เหมือนคนอื่น เวลาสอนหนังสือพวกนี้จะอ้างว่าไม่มีจุดยืนทางการเมือง แต่เนื้อหาที่สอนมันฟ้องเอง เพราะมีแต่การเสนอด้านเดียว และมีการกล่าวหาว่าคนที่มองต่างจากกระแสกหลักคือพวก “หัวรุนแรง” ที่จุฬาฯ นักวิชาการส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อเหลืองที่สนับสนุนอำมาตย์ พวกนี้คิดว่านักวิชาการฝ่ายซ้ายอย่างผมจะต้อง “ล้างสมอง” นิสิตนักศึกษา เพราะเวลาเขาเองสอนและตรวจงานนักศึกษา เขาไม่มีวันให้ “A” หรือ คะแนนเต็มร้อยกับงานเขียนที่อาจารย์ไม่เห็นด้วย เขาไม่เข้าใจว่านักวิชาการที่ประกาศจุดยืนตนเองชัดเจนว่าเป็นซ้าย แต่ให้คะแนนเต็มกับความคิดที่ตรงข้ามกับตนเอง เป็นการสร้างกบฏต่อระบบอาวุโสเพื่อให้นักศึกษาคิดเองเป็น
นักวิชาการสายรัฐศาสตร์จำนวนมาก จะสอนว่าวิธีขยายพื้นที่ประชาธิปไตยคือการเคลื่อนไหวของ “ประชาสังคม” หรือการเคลื่อนไหวของประชาชนพลเมืองธรรมดาที่อิสระจากรัฐ โดยมีการคัดค้านเผด็จการหรือการลดทอนสิทธิเสรีภาพโดยรัฐ แต่ตอนนี้ดูเหมือนนักวิชาการจำนวนมากที่อ้างตัว “เป็นกลาง” แยกไม่ออกระหว่างสองฝ่ายที่มีความสำคัญในวิกฤตปัจจุบัน ฝ่ายที่หนึ่งคือพลเมืองธรรมดาชาวบ้านชาวเมืองเสื้อแดง ซึ่งเป็นคนยากจน เขามีจำนวนมากและเขาเรียกร้องประชาธิปไตย ส่วนฝ่ายที่สองคือทหารที่ทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา อภิสิทธิ์ชน รัฐบาลที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้ง และขบวนการชนชั้นกลางที่ใช้ความรุนแรงเพื่อสร้าง “การเมืองระเบียบใหม่” ของเผด็จการซึ่งลดเสียงประชาชนในการเลือกตั้ง
ผมไม่ได้พูดเรื่องนักวิชาการเสื้อเหลืองที่ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย พวกนั้นแสดงจุดยืนตรงไปตรงมา และคงสอดคล้องกับผลประโยชน์ทางชนชั้นของเขาในฐานะอภิสิทธิ์ชน
ผมพูดถึงคนที่อยากใส่เสื้อสีขาว พูดแต่เรื่องสันติวิธีแต่ไม่วิจารณ์ทหาร อ้างว่าเป็นกลาง แล้วเสนอให้ยุบสภาภายในสามเดือน ซึ่งเป็นการพยายามประนีประนอมระหว่างจุดยืนรัฐบาลเผด็จการกับฝ่ายประชาธิปไตย และผลของการประนีประนอมแบบนั้นต้องจบด้วยระบบ “กึ่งเผด็จการ”
ในห้องเรียนถ้าท่านสอนเรื่องประชาสังคมและประชาธิปไตย แต่พอก้าวออกไปนอกห้องในโลกจริง ไม่สามารถมองเห็นประชาสังคมในแววตาคนเสื้อแดงจำนวนมาก มันก็แปลว่าท่านล้มเหลวในวิชาการแล้ว
การเรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าอยากได้พรรคไหนเป็นรัฐบาล เป็นมาตรการประชาธิปไตยชัดเจน แน่นอนมันมีปัญหาระยะยาวว่าอำนาจอำมาตย์ของทหาร ศาล ข้าราชการ และสถาบันหลักๆ ก็ยังอยู่ และเขาก็สามารถทำลายประชาธิปไตยได้อีกเสมอ พร้อมกันนั้นแนวร่วมชนชั้นกลางของพันธมิตรฯ ที่ชื่นชมเผด็จการก็จะยังอยู่ แต่การยุบสภาเป็นก้าวแรก ถ้าใครคัดค้านเพราะไม่ไว้ใจประชาชนตาดำๆ ในวันเลือกตั้ง ก็แปลว่าท่านไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตย
นักวิชาการที่ดัดจริตอ้างตัวเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพียงแต่ไปยืนอยู่ห่างๆ จากประชาสังคมของประชาชน คิดว่าการเป็นกลางของตนเองเพิ่มน้ำหนักและเหตุผลให้กับแถลงการณ์ที่เขาเสนอให้สังคม แต่ความจริงมันตรงข้าม ถ้าใครรักประชาธิปไตยและไม่สนับสนุนคนเสื้อแดงในยามวิกฤตนี้ ความเห็นของท่านไร้ค่าในการขยายประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ตอนนี้อ้างตัวเป็นกลางเพื่อ “ช่วยหาทางออกให้สังคม” ได้ทำลายความน่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิงนานแล้ว เพราะแต่งตั้งจากผลของรัฐประหาร ไม่ยอมคัดค้านการขู่ใช้กำลังของทหาร ไม่ยอมพูดถึงการเซ็นเซอร์สื่อหรือกฎหมายหมิ่นฯ แถมยังสวมเสื้อเหลืองสนับสนุนพันธมิตรฯ ฝ่ายองค์กรเอ็นจีโอหลักๆ ก็เช่นกัน ออกประกาศเพื่อปกป้องคนชั้นกลางรักเผด็จการในอดีต แต่ตอนนี้หันหลังให้คนจนเสื้อแดง กลายเป็นกองเชียร์ของอำมาตย์อย่างเบ็ดเสร็จ
ในยามที่อำมาตย์นำทหารมาล้อมประชาชนที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ใครไม่ยืนข้างประชาชนเสื้อแดงโดยไม่มีเงื่อนไข ถือว่าคนนั้นคัดค้านประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมทางสังคม